นโยบายขึ้นภาษีและขยายลดหย่อนของทรัมป์สะท้อนวาระ “ผู้มีรายได้สูง” เพื่อหวังกระตุ้นการลงทุนระยะสั้น แต่ ความเสี่ยงสะสมมีมากกว่า ทั้งการเพิ่มหนี้, เงินเฟ้อ, และผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่นโยบายภาษีนำเข้ารุนแรง (เช่น 36–37%) สถานการณ์เป็นการตอกย้ำภาวะลำบากสำหรับประเทศที่พึ่งพาสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยของเรา
ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่นิ่ง ข่าวสารเรื่องเงินเฟ้อ ภาษีที่เพิ่มขึ้น
หรือแม้แต่นโยบายการเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ล้วนส่งผลต่อความเป็นอยู่ของเราโดยตรง หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า จะมีอะไรที่มั่นคงจริงๆ ในชีวิตอีกไหม ?
พี่จายืนยันคำตอบว่า… มีค่ะ
สิ่งนั้นไม่ใช่ หุ้น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ราคาแพง
แต่คือสิ่งที่เรียบง่ายและจริงใจที่สุด…
ที่เรียกว่า “ประกันชีวิต”
แม้เศรษฐกิจจะผันผวนจากนโยบายภาษีหรือสถานการณ์โลกแค่ไหน แต่ ระบบประกันชีวิตก็ยังคงเป็น “หลักประกันที่มั่นคง” ที่ช่วยให้ผู้คนไม่ล้มทั้งยืนเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
5 เหตุผลที่ “ประกันชีวิต” ยังจำเป็น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร

1. เพราะชีวิตมีความเสี่ยงเสมอ..
ความเสี่ยงในชีวิตไม่เคยหยุดตามเศรษฐกิจ ต่อให้เศรษฐกิจดีแค่ไหน เราก็ยังอาจล้มป่วย เจ็บหนัก เกิดโรคร้าย อุบัติเหตุหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอ
ประกันชีวิตคือ “กันชน” ที่ช่วยดูแลครอบครัวในวันที่เราไม่อยู่ และช่วยให้เราผ่านวันที่ลำบากได้โดยไม่หมดตัว
ไม่ว่าจะภาษีขึ้น ดอกเบี้ยสูง หรือเงินเฟ้อ คนเราก็ยังมีโอกาสเจ็บป่วย เสียชีวิต หรือสูญเสียรายได้อยู่ดี หากเตรียมการวางแผนไว้เท่ากับคำว่า “ป้องกัน” แต่หากไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลยพอเกิดเหตุวิกฤติแล้วไปหาทาง “แก้ไข” ก็อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย
2. เพราะระบบสวัสดิการรัฐไม่พอ
สวัสดิการที่มีขีดจำกัดหลายอย่าง รวมถึงมีแต่ความไม่แน่นอน ในหลายประเทศ รวมถึงไทย คนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการหรือมีประกันสังคมแบบเต็มที่ จะต้องพึ่ง “การวางแผนส่วนตัว” เป็นหลัก
“ประกันชีวิต“ คือหนึ่งในเครื่องมือวางแผนที่ชัดเจนและยั่งยืนที่สุด
เห็นด้วยไหม กับคำที่ว่าเราคนไทยต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตเราได้ดีเท่าตัวเราเอง
เราทุกคนจึงต้อง “รับผิดชอบอนาคตของตัวเอง” ด้วยมือของเราเอง เพื่อไม่เป็นภาระให้คนที่เรารัก หรือใคร ๆ ในวันข้างหน้า
3. เพราะระบบประกันชีวิตช่วยสร้างวินัยทางการเงิน
การมีกรมธรรม์ประกันชีวิตเหมือนบังคับให้เรา “เก็บออมในระบบ”
และไม่ใช้เงินหมดไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
ใช้หลักเรียบง่าย คือ ”เก็บก่อนใช้“ บริหารเงินที่เป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้
ให้พอดีตัว เมื่อไหร่ที่เก็บมาก่อนนั่นหมายถึงเราจะใช้จ่ายตามเงินที่เหลือจากเก็บ ชีวิตไม่มีทางติดลบแน่นอน
4. เพราะมันคือการส่งต่อความรัก
เมื่อเราจากไป เงินก้อนจากประกันชีวิตคือสิ่งเดียวที่สามารถ “ส่งความห่วงใย” ไปถึงคนที่เรารัก หรือส่งถึงมือครอบครัวได้ทันที
ในวันที่เราไม่สามารถอยู่กับคนที่เรารักได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ยังสามารถดูแลเขาได้ ก็คือ “ความคุ้มครอง” ที่เราตั้งใจวางไว้ล่วงหน้าแล้ว มีค่ามหาศาลยิ่งกว่าพินัยกรรมใด ๆ บนโลกใบนี้ เพราะคือเงินสดๆที่ส่งถึงมือทายาทอย่างไร้ความเสี่ยง
5. เพราะความมั่นคงในชีวิตไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ขึ้นกับการเตรียมตัว
โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่คนที่เตรียมตัวไว้เสมอจะรับมือได้ดีกว่า ประกันชีวิตจึงถูกเรียกว่าเป็น”เครื่องมือ“ สร้าง “ภูมิคุ้มกันทางการเงิน” ให้ชีวิต ใช้เครื่องมือนี้เป็น ก็จะเท่ากับรับมือไหว กับทุกเหตุการณ์ ทุกวิกฤติที่จะเข้ามาในชีวิตได้อย่างสงบนิ่ง
แม้เศรษฐกิจจะผันผวน แต่ใจไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ
ทำไมประกันชีวิตจึงยังจำเป็น ?? ในวันที่เศรษฐกิจทั้งโลก ดูเปราะบาง เราต่างยิ่งต้องมี “สิ่งที่มั่นคง” สักอย่างไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจและปกป้องอนาคตของตัวเอง ประกันชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องของความตาย… แต่มันคือเรื่องของ “คุณค่าชีวิต” คือการยืนยันว่า
- เราเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง
- เราห่วงใยคนที่เรารัก
- เราเลือกจะรับผิดชอบอนาคตอย่างตั้งใจ